วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2563

วิหารวรรณกรรม (Van mieu)

สวัสดีค่ะทุกคน ครั้งนี้เราจะพาไปรู้จักกับแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ของประเทศเวียดนามเวียดนามกัน นั้นคือ วิหารวรรณกรรม นั้นเอง วิหารแห่งนี้เป็นทั้ง "วัดโบราณ" ที่มีผู้คนมาเคารพศรัทธากันอย่างยาวนานแล้ว ยังถือได้ว่าเป็น "มหาวิทยาลัยแห่งแรกของเวียดนาม" อีกด้วย โดยจะมีการเรียนการสอนเกี่ยวกับขงจื๊อ ซึ่งเป็นลัทธิที่ผู้คนเคารพนับถือกันอย่างแพร่หลายในประเทศจีนและได้เผยแพร่อิทธิพลมาสู่เวียดนามซึ่งเป็นพื้นที่ใกล้เคียงด้วย ดังนั้นเรามาทำความรู้จักสถานที่ที่เป็นร่องรอยประวัติศาสตร์แห่งการศึกษาของเวียดนามกันเลยดีกว่าคะ

ที่มา : https://www.thaitravelcenter.com/_admin2/userfiles/destinations/images/place-395-img1.jpg


            
วิหารวรรณกรรม หรือภาษาเวียดนามเรียกว่า วันเหมียว (Van mieu) เป็นวัดโบราณและมหาวิทยาลัยแห่งแรก
ของเวียดนาม ตั้งอยู่ที่ใจกลางเมืองฮานอย ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ 1070 ซึ่งเป็นยุคของ ราชวงศ์ไล โดยพระเจ้าไล ไท ตอง สร้างขึ้นเพื่อเชิดชูคุณธรรมและแสดงความยกย่องแก่ขงจื๊อ นักปราชญ์ชาวจีนที่ได้รับความเคารพนับถือเป็นอย่างมากในประเทศจีน ซึ่งเวียดนามที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของราชวงศ์จีนในตอนนั้นก็ได้รับอิทธิพลความเชื่อนี้มาด้วย ในอีกหกปีต่อมา ช่วงปี ค.ศ 1076 ได้มีการสร้างให้เป็นโรงเรียนสำหรับขุนนาง เพื่อให้เหล่าขุนนางได้ศึกษาเล่าเรียนและสอบเป็นจอหงวน จนกระทั่งในปี ค.ศ1442 ยุคสมัยของราชวงศ์ตรัน ได้มีการเปิดรับนักเรียนทั่วไปที่มีความรู้ความสามารถให้เข้าเรียนในวิหารแห่งนี้ได้ และได้เปิดเรียนการสอนจนถึงปลายศตวรรษที่ 18 และถูกทิ้งให้รกร้าง

Cổ kính Văn Miếu Quốc Tử Giám - Trường đại học đầu tiên của Đông Nam Á
ที่มา : https://tour.dulichvietnam.com.vn/diem-den/ha-noi/co-kinh-van-mieu-quoc-tu-giam-truong-dai-hoc-dau-tien-cua-dong-nam-a.html

    
    วิหารวรรณกรรมแบ่งออกเป็น 5 ชั้นด้วยกัน ประตูทางเข้าด้านหน้าทำเป็น 2 ชั้น มีประตูรูปวงโค้ง คล้ายก๋งจีน สลักชื่อวิหารวรรณกรรมอยู่ชั้นบนสุด เมื่อลอดซุ้มประตูด้านหน้าเข้ามา จะพบความร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่ สองข้างทางมีบ่อน้ำสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก 2 บ่อ สังเกตได้ว่ามีการวางแผนผังการก่อสร้างที่ดี โดยคำนึงถึงหลักของฮวงจุ้ยเช่นเดียวกับจีน ซึ่งได้รับอิทธิพลนี้มาจากจีน เพราะจีนเคยปกครองเวียดนามมาก่อน
ที่มา : https://vi.wikipedia.org/wiki/V%C4%83n_Mi%E1%BA%BFu_-_Qu%E1%BB%91c_T%E1%BB%AD_Gi%C3%A1m

  
        เมื่อเดินผ่านซุ้มประตูมาก็จะถึงอาคารชื่อตึกดาวลูกไก่ หรือ เคววันกั๊ก (Khue Van Cac) สถานที่นักอักษรศาสตร์มาท่องบทกวี มีประตูกำแพงใหญ่ได๋แถงห์โมน (Dai Thanh Mon) สัญลักษณ์ของกรุงฮานอย กับสระน้ำขนาดใหญ่ตรงกลางลานด้านหลังประตูมีชื่อว่า สระแสงงาม หรือ เทียนกวางติงห์ (Thien Quang Tinh) เวลาแสงจากพระอาทิตย์สาดส่องจะสะท้อนเข้าสู่ประตูใหญ่ ซึ่งตามความเชื่อหลักของฮวงจุ้ย คือทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง


Khuê Văn Các sắp được tu bổ lại | VTV.VN
ที่มา : https://vtv.vn/du-lich/khue-van-cac-sap-duoc-tu-bo-lai--109269.htm

ที่มา : http://www.oceansmile.com/Vietnam/Wannakam.htm


        นอกจากนี้ภายในอาคารหรือบริเวณรอบยังมีแผ่นหินจารึกรวม 82 แผ่น หลงเหลือจากของเดิมที่มีอยู่ถึง 117 แผ่น ซึ่งแผ่นหินเหล่านี้จะตั้งอยู่บนหลังเต่าทำด้วยหิน จารึกชื่อ ผลงาน ประวัติทางวิชาการของผู้ที่สอบผ่านการศึกษาหลักสูตร 3 ปี ตั้งแต่ระหว่างปี พ.ศ.1985-2322 หลายคนจึงเรียกว่า “แผ่นหินจารึกชื่อจอหงวน” ซึ่งจารึกชื่อของบัณฑิตจำนวน 1,307 คน



    
     เมื่อเดินตรงมาเรื่อย ๆ ก็จะพบ
อาคารแห่งการเฉลิมฉลอง หรือ ไบ๋ เยือง ซึ่งเป็นที่ตั้งเครื่องเซ่นสังเวยให้แก่ขงจื้อ อีกทั้งยังเป็นบริเวณที่กษัตริย์ได้ทรงมอบน้ำพระพิพัฒน์สัตยาให้กับอาจารย์ผู้สอนในอดีต ซึ่งบริเวณนี้มีแผ่นไม้ที่สลักไว้ด้านบนแท่นบูชาว่า ‘อาจารย์ของนักเรียนกว่าพันรุ่น’
  

ที่มา : http://www.taraarryatravel.com/info_page.php?id=652&category=34

Detailed decorative altar  inside the Temple of Literature (Van Mieu) in Hanoi, Vietnam : Stock PhotoTemple of Confucius containing statues of the great philosopher and four of his main disciples all dressed in robes of red and gold.Temple of Literature, Hanoi, Vietnam. : Stock Photo
ที่มา : https://www.gettyimages.com/detail/photo/the-constellation-of-literature-gate-temple-of-royalty-free-image/900314488


  
       นอกจากนี้แล้วภายในวิหารวรรณกรรมแห่งนี้ยังมีการรวบรวมผลงานทางด้านศิลปกรรม งานปั้น งานแกะสลัก และรูปภาพตั้งแต่สมัยอดีตพันกว่าปีที่ผ่านมา  ซึ่งปัจจุบันวิหารวรรณกรรมแห่งนี้กลายเป็นสถานที่รวบรวมเรื่องราวประวัติศาสตร์ โดยในช่วงแรกเป็นการสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับนักปราชญ์ขงจื๊อ จนต่อมาวิหารวรรณกรรมแห่งนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ในการเชิดชูเกียรติของเหล่าบัณฑิตที่มีบทบาทในการสร้างวัฒนธรรมความรู้ของเวียดนาม และมีการบูรณะซ่อมแซมให้คงความเป็นตัวอย่างวัฒนธรรมอันเก่าแก่ของชาวเวียดนามได้เป็นอย่างดี

        หากทุกคนได้เดินทางไปเที่ยวฮานอย ประเทศเวียดนามแล้ว วิหารวรรณกรรมก็เป็นอีกแลนด์มาร์คหนึ่งที่ไม่ควรพลาดเลยทีเดียว นอกจากจะได้เกร็ดสาระความรู้จากวิหารวรรณกรรมแล้ว บริเวณรอบ ๆ สถานที่แห่งนี้ยังเต็มไปด้วยธรรมชาติที่สวยงาม เหมาะแก่การพักผ่อนและการถ่ายรูปกับทิวทัศน์ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ที่เขียวขจีและดอกไม้ที่สวยงามใจกลางเมืองฮานอย



เอกสารอ้างอิง

texlovewich.(2553).วิหารวรรณกรรม (วันเหมียว,Literature temple) แห่งฮานอย .สืบค้นเมื่อ 26/8/2563
จากเว็บไซต์http://xn--q3cs6acu.blogspot.com/2010/06/literature-temple.html

MGR Online.(2549).วันวานของ‘วันเหมียว’ มหาวิทยาลัยแห่งแรกของเวียดนาม.
สืบค้นเมื่อ 26/8/2563จากเว็บไซต์http://xn--q3cs6acu.blogspot.com/2010/06/literature-temple.html
https://mgronline.com/dhamma/detail/9490000112076

วิหารวรรณกรรม.(มปป.).
สืบค้นเมื่อ 27/8/2563จากเว็บไซต์ https://www.expedia.co.th/Temple-Of-Literature-Hanoi.d6115784.Place-To-Visit

โอเซี่ยนสไมล์ทัวร์.(มปป.).วิหารวรรณกรรมวันเหมียว (Van mieu) ฮานอย เวียดนาม.
สืบค้นเมื่อ 27/8/2563จากเว็บไซต์http://www.oceansmile.com/Vietnam/Wannakam.htm

ส.ทหรลำชี.(มปป.).วิหารวรรณกรรมวันเหมียว (Van mieu) ฮานอย เวียดนาม.
สืบค้นเมื่อ 27/8/2563จากเว็บไซต์http://oknation.nationtv.tv/blog/t-vee/2016/10/15/entry-2

การปฎิบัติงานในการนำเที่ยวของมัคคุเทศก์



อาชีพมัคคุเทศก์ ชั้น 4 - TPQI E-Training: More than just an e-Learning.
                                          ที่มา https://e-training.tpqi.go.th/courses/47/info


    ก
ารเตรียมการของมัคคุเทศก์ก่อนการปฏิบัติงานสำคัญเป็นอย่างมาก ควรต้องเตรียมการในเรื่องของการหาความรู้และข้อมูลที่จำเป็นสำหรับใช้การนำทัวร์โดยละเอียด ต้องรู้จักมารยาทในการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น มีอัธยาศัยดี  ต้องเข้าใจในงานที่ได้รับมอบหมายจากบริษัทและตรวจสอบรายละเอียดของงานทัวร์เพื่อป้องกันความผิดพลาด ต้องติดต่อกับหน่วยงานและประสานงานกับสถานที่ต่าง ๆ ให้เรียบร้อย ต้องคำนวณและวางแผนทัวร์ให้ครอบคลุมทุกอย่างในแหล่งท่องเที่ยว รวมทั้งมีเกร็ดความรู้ที่น่าสนใจในการบรรยายทัวร์ เพื่อให้การทัวร์เป็นไปอย่างราบรื่นและลดความผิดพลาดให้ได้มากที่สุด



โดยขั้นตอนในการนำเที่ยวของมัคคุเทศก์มีด้วยกันทั้งหมด 4 ขั้นตอน ดังนี้


1.การเตรียมตัวก่อนปฎิบัติหน้าที่ ต้องหมั่นศึกษาหาความรู้ด้านต่างๆ เรียนรู้โครงสร้างกิจการของบริษัทนำเที่ยว และต้องสร้างความสัมพันธ์อันดีกับบริษัทนำเที่ยวที่ตนเองอยู่และบุคคลที่ร่วมงานด้วย นอกจากนี้ไกด์ต้องมีบุคคลิกภาพที่ดี มีความมั่นใจในตัวเอง พูดจาสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตนตนผู้อื่น และมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่

มัคคุเทศก์รูป png, เวกเตอร์, PSD, และไอคอนสำหรับการดาวน์โหลดฟรี | pngtree
ที่มา https://th.pngtree.com/free-png-vectors/มัคคุเทศก์


    2.การรับมอบหมายงานจากบริษัทนำเที่ยว
  มัคคุเทศก์จำเป็นต้องรับทราบรายละเอียดและเข้าใจในงานที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งเป็นข้อมูลที่สำคัญในการนำทัวร์ เพราะฉะนั้น เมื่อได้รับมอบหมายงานทัวร์แล้วควรสอบถามรายละเอียดงานให้ครบถ้วนเพื่อป้องกันความผิดพลาด เช่น วันเวลาในการเดินทาง พาหนะที่ใช้ในการเดินทางไปแต่ละสถานที่ สถานที่พัก


รูปภาพ : แผนที่, เที่ยวบิน, วันหยุด, กระเป๋าเดินทาง, วีซ่า, หนังสือเดินทาง,  การเดินทาง, การขนส่ง, การท่องเที่ยว, เครื่องบินไอพ่น, นานาชาติ, โลก,  นักท่องเที่ยว, นักเดินทาง, สัมภาระ, ภาพประกอบ, การ์ตูน, ศิลปะ, การออกแบบกราฟิก  3100x1800 - mohamed hassan ...
ที่มา https://pxhere.com/th/photo/1569711


  

 3.การตรวจสอบเอกสาร การจัดเตรียมอุปกรณ์และการเตรียมตัวปฎิบัติงาน ขั้นตอนนี้สำคัญเป็นอย่างมากโดยเฉพาะสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ควรตรวจสอบแท็ก(Tag)กระเป๋าเพื่อกันสัมภาระหาย และต้องติดบัตรประจำตัวนักที่องเที่ยว ในกรณีที่หลงทางหนือต้องการความช่วยเหลือจะได้สะดวก นอกจากนี้ไกด์ต้องเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นในการอำนวยความสะดวกให้กับลูกทัวร์ เช่น อาหารว่างและเครื่องดื่ม อุปกรณ์ในการทำกิจกรรม



3 เทคโนโลยี ที่จะทำให้การท่องเที่ยวของคุณเป็นอิสระจากทัวร์ | G-ABLE
 4.การปฏิบัติหน้าที่ในะหว่างการเดินทาง  ต้องเดินทางไปยังจุดนัดพบก่อนเวลานัดหมายอย่างน้อย 1 ชั่วโมง ควรตรวจสอบทุกอย่างให้เรียบร้อย เช่น น้ำดื่ม อาหาร กล่องปฐมพยาบาล ความพร้อมของคนขับรถ ในกรณีที่มีรถนำทัวร์หลายคัน ควรต้องมีป้ายบอกลักษณะของรถทัวร์เพื่อป้องกันการขึ้นรถผิดคัน ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวที่หลงทางหรือเลท ในกรณีที่ลูกทัวร์เลทมากจนเกินไป ไกด์จำเป็นต้องแจ้งให้กับบริษัทนำเที่ยวทราบและทำตามแแพลนทัวร์ต่อไปเพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนของแผนทัวร์



สาระน่ารู้ก่อนเดินทาง - Bestworldtravel
ที่มา https://www.bestworldtravel.net/content


ดังนั้นการเตรียมความพร้อมของมัคคุเทศก์ ไกด์ต้องมีประสบการณ์ในการวางแผนทัวร์ให้รัดกุมและมีความเหมาะสมกับลูกทัวร์แต่ละครั้ง ต้องรู้จักการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าหรือแก้ไขสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อให้ดำเนินการทัวร์ต่อไปได้ตามแผน และไกด์จำเป็นต้องเตรียมเนื้อหาการพูดบรรยายให้มีความกระซับแต่เนื้อหาครบถ้วนตามข้อมูลเบื้องต้นของแต่ละสถานที่และข้อมูลจำเป็นของสถานที่ให้ลูกทัวร์ได้รับทราบและปฎิบัติตาม เช่น การแต่งกายในการเข้าพุทธสถาน เพื่อให้แผนทัวร์ที่วางเอาไว้เป็นไปได้ด้วยดี อีกทั้งยังสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาให้บริการ



ททท.งัด7คัมภีร์ Go Local  บุกครึ่งหลังปี'61ต่อยอด4เดือนแรก55เมืองรองโกย8หมื่นล้าน
ที่มา https://www.matichon.co.th/publicize/news_1018615







วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2563

มี 3 คุณสมบัตินี้ก็เป็นมัคคุเทศก์ที่ดีได้

คุณสมบัติของการเป็นไกด์ที่ดี

มัคคุเทศก์ หรือไกด์ - Website1_60_Bp
ที่มาhttps://sites.google.com/site/website160bp/makhkhuthesk-hrux-kid


        มัคคุเทศก์ หรือ ไกด์ เป็นอาชีพที่มีความสำคัญมากในวงการการท่องเที่ยวของไทย ซึ่งประเทศไทยรายได้ของเศรษฐกิจส่วนใหญ่มาจากการท่องเที่ยว โดยเฉพาะรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เพราะแหล่งท่องเที่ยวในประเทศไทยมีความสวยงามมากมาย และค่าครองชีพถูก จึงทำให้ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวนานาประเทศ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีไกด์เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว รวมไปถึงควบคุมดูแลไม่ให้นักท่องเที่ยวทำลายสถานที่ท่องเที่ยวโดยไม่รู้ตัวและละเมิดกฏเกณฑ์ของประเทศไทย


    โดยมัคคุเทศก์ที่ดีควรมีคุณสมบัติ 3 ข้อต่อไปนี้

           1.กระบวนการทำงานของมัคคุเทศก์
 - เริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงประวัติของสถานที่ท่องเที่ยวแบบสั้นๆ กระชับและครอบคลุมใจความสำคัญ เช่น การเปรียบเทียบยุคสมัยในการสร้างวัดไทยกับยุคสมัยของอารยะธรรมตะวันตก (ในกรณีที่นักท่องเที่ยวเป็นชาวตะวันตก )
- เมื่อนักท่องเที่ยวเป็นชาวต่างชาติ ยอมไม่ทราบถึงกฏกติกาข้อควรปฏิบัติในประเทศไทยตามขนบธรรมเนียม
ประเพณีอยู่แล้วดังนั้น ไกด์ต้องบอกข้อควรปฏิบัติและข้อไม่ควรปฏิบัติแก่นักท่องเที่ยวด้วยเพื่อความสะดวกใน
การเข้าชมสถานที่ เช่น การแต่งกายเข้าวัดไม่ควรใส่เสื้อกล้ามและกางเกงขาสั้น หรือ ควรถอดรองเท้าก่อนเข้าวัด
- ไกด์ควรบอกจุดห้องน้ำ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว และบอกจุดต่าง ๆ ที่นักท่องเที่ยวอาจ
ได้รับอันตรายได้หากไม่ระมัดระวัง เช่น ทางต่างระดับ เก็บของที่มีความแวววาวให้มิดชิดเพราะลิงอาจจะเข้ามา
ขโมยของได้
 - ไกด์ควรจะต้องปฏิบัติตามตารางทัวร์เป็นหลัก แต่ถ้าเวลามีความคลานเคลื่อน ก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของไกด์เอง


พระบรมหาราชวัง และวัดพระแก้วฯ – SomethingJAM!
ที่มา https://www.somethingjam.com/the-grand-palaceth      


         2.เนื้อหาที่มัคคุเทศก์ควรนำเสนอ

    - เนื้อหาในการบรรยายของไกด์ควรครอบคลุมข้อมูลพื้นฐานของสถานที่นั้น ๆ
[หรือ 5W+1H = What,Were,When,Why,Who and How] เช่น นี่คืออะไร? สร้างขึ้นเมื่อไร? ทำไมถึงสร้างขึ้นมา?
   - หากนักท่องเที่ยวมีคำถาม ไกด์ควรตอบคำถามสั้น ๆ เพื่อป้องกันการถามต่อที่อาจจะกินเวลาทัวร์และทำให้
นักท่องเที่ยวที่ไม่ได้มีความสนใจจนเกิดเป็นความน่าเบื่อจนเกินไป
   - ไกด์ต้องรู้จุดหรือสถานที่ที่ต้องการบรยายข้อมูล มีการเชื่อมโยงข้อมูลร่วมกันเพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ
เช่น การเชื่องโยงลักษณะความแตกต่างของพระพุทธรูปสุโขทัยกับพระพุทธรูปอยุธยา
   - ควรตั้งคำถามให้นักท่องเที่ยวได้มีส่วนร่วมและควรยกตัวอย่างหรือการเปรียบเทียบประกอบความเข้าใจ



ญี่ปุ่นปลดล็อคมัคคุเทศก์ไม่ต้องมีใบอนุญาต รองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ที่มา https://mgronline.com/japan/detail/9600000054739


        3.เทคนิคการนำชมและการพูดของมัคคุเทศก์

- ก่อนอื่นไกด์ต้องมีบุคคลิกที่ดี มีความมั่นใจ ควรแนะนำตัวเอง ยิ้ม และสบตากับนักท่องเที่ยว เพื่อสร้างมิตรภาพและความเป็นกันเองให้แก่นักท่องเที่ยว

- เมื่อจะเข้าไปชมสถานที่ ไกด์ต้องรู้จุดที่ทำให้นักท่องเที่ยวได้รับความสะดวกสบายมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่น ไกด์พานักท่องเที่ยวไปยืนตรงใต้ร่มไม้เพื่ออธิบายข้อมูลสถานที่ และเป็นจุดที่หลบทางให้แก่นักท่องเที่ยวคนอื่นที่มาด้วย และต้องรู้จุดที่จะทำให้นักท่องเที่ยวได้ชมจุดไฮไลท์ของสถานที่ต่าง ๆ ได้ครบและสวยงามอย่างที่นักท่องเที่ยวต้องการ

- ลักษณะในการพานำชมทัวร์ที่ดี ไกด์จะต้องพาเดินและหันกลับมาเช็คนักท่องเที่ยวเป็นระยะๆ เพื่อเช็คว่านักท่องเที่ยวในกลุ่มทัวร์ได้เดินตามมาครบทุกคนหรือไม่ เพื่อป้องกันการหลงทาง

 - ลักษณะการพูดที่ดี ไกด์ต้องมีเทคนิคการพูดที่ดึงดูดความสนใจ มีการใช้เสียงหนักเสียงเบาเพื่อให้เนื้อหาน่าสนใจ รวมทั้งใช้ภาษากายในการทำท่าทางประกอบการบรรยาย แต่ไม่ควรใช้มากโดยไม่จำเป็นเพื่อป้องกันการเกิดความสับสนของนักท่องเที่ยว เช่น เอามือปะสานกันไว้ด้านหน้าเพื่อไม่ให้แกว่งมือไปมา อีกทั้งยังสามารถนำลักษณะเด่นในการจำแนกความสำคัญของวัตถุเพื่อให้ลูกทัวร์และไกด์ง่ายต่อการทำความเข้าใจและอธิบาย เช่น สีของเจดีย์ นอกจากนี้ยังสามารถนำรูปภาพมาใช้ประกอบการบรรยายได้ เพราะสถานที่ท่องเที่ยวอาจมีข้อจำกัดในพื้นที่ในการอธิบาย เพื่อไม่ให้เกิดความแออัดและขวางทางนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น ก็สามารถนำรูปภาพมาประกอบการบรรยายก่อนเข้าไปในสถานที่จริง

    - ลักษณะการยืนพูด ไกด์ควรยืนหันหน้าให้กับลูกทัวร์หรือยืนหัน 45 องศาให้กับสถานที่หรือวัตถุที่ต้องการอธิบาย เพื่อให้เสียงที่พูดนักท่องเที่ยวได้ยินกันทุกคนและเป็นการสำรวจนักท่องเที่ยวไปด้วยว่าสนใจในเรื่องที่อธิบายอยู่หรือไม่

    - เมื่อบรรยายเสร็จแต่ละครั้งควรเปิดช่วงให้ลูกทัวร์เพื่อสอบถามข้อมูล หรืออาจจะตั้งคำถามแก่นักท่องเที่ยวเพื่อให้มีส่วนร่วม

ที่มา https://www.scholarship.in.th/part-time-job-practice-english/
      อาชีพมัคคุเทศก์ หรือ ไกด์ เริ่มมีบทบาทน้อยลงในวงการการท่องเที่ยว เมื่อในปัจจุบันนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เลือกที่จะไปเที่ยวด้วยตนเอง หรือ แบ็คแพ็ค ไปเที่ยวกับเพื่อนกลุ่มเล็ก ๆ เพื่อความสะดวกสบายในการเดินทางที่ไม่ต้องรอการรวมกลุ่มกันใหญ่ ๆ อีกต่อไป นอกจากนี้ความพัฒนาของเทคโนโลยีในปัจจุบันเป็นสิ่งที่อำนวยความสะดวกเป็นอย่างมาก หากต้องการไปเที่ยวเองก็ง่ายในการหาข้อมูล ทำให้มัคคุเทศก์ต้องเริ่มปรับตัวให้เข้ากับยุคโลกาภิวัฒน์ให้ได้ เช่น การขายโปรแกรมทัวร์ผ่านโซเซียลมิเดีย ซึ่งในปัจจุบันจึงเริ่มมีการท่องเที่ยวในรูปแบบใหม่ที่หลากหลายให้เราได้พบเห็นกันและได้ไปสัมผัสกับบรรยากาศของการผ่อนคลายในการท่องเที่ยวในประเทศไทย

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2563

พัฒนาการจากยุคหินเก่า ยุคหินใหม่ สู่อารยะธรรมแรกของโลก

 พัฒนาการจากยุคหินเก่า ยุคหินใหม่ สู่อารยะธรรมแรกของโลก

จากบล็อกเรื่องการวิวัฒนาการของบรรพบุรุษของเราคราวที่แล้ว เมื่อมนุษย์ได้เริ่มรู้จักการอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม ทำให้เริ่มเกิดการอยู่รวมกับเป็นสังคมมนุษย์ ซึ่งในคราวนี้เราจะมาพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องการพัฒนาของสังคมมนุษย์ที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับการวิวัฒนาการสิ่งต่าง ๆ รอบตัว โดยจะแบ่งออกเป็น 3 ช่วงให้เห็นถึงการพัฒนาด้านต่าง ๆ และความแตกต่างของแต่ละยุคสมัย ดังต่อไปนี้


ยุคหินเก่า Paleolithic Era (Old Stone Age)

    - มีดำรงชีวิตแบบเร่ร่อน อพยพไปเรื่อย ๆ ตามแหล่งอาหาร ใช้ชีวิตด้วยการล่าสัตว์ - หาของป่า และอาศัยอยู่ตามภูเขา ถ้ำ เผิงผา

    - ใช้เครื่องมือหินแบบง่าย ๆ ตัดหยาบ

    - รู้จักการใช้ไฟ

    - มีพัฒนาการทางด้านภาษา

    - รู้จักงานศิลปะ มีการวาดภาพบนผนังถ้ำและเผิงผา

    - มีความเชื่อเกี่ยวกับความตาย การฝังศพ

ที่มา http://www.ngwk.ac.th/web/social/em-orn/west-culture/page1.htm



ยุคหินใหม่ Neolithic Era (New Stone Age)

ในยุคหินใหม่ มนุษย์เริ่มอยู่รวมกันเป็นกลุ่มและเป็นหลักแหล่ง มีการทำเกษตรกรรม จึงเริ่มมีเครื่องมือเครื่องมือเครื่องใช้ต่างจากแต่ก่อน เมื่อการค้นพบแร่ทองแดง สำริด ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนของยุค นำไปสู่ยุคโลหะ ทำให้มีการพัฒนาทางด้านเครื่องมือเครื่องใช้ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะด้านอาวุธ และเริ่มมีสังคมที่มีความซับซ้อนมากขึ้น จึงเริ่มนำไปสู่การมีอารยะธรรมเป็นของตนเอง

    -มีวิถีชีวิตแบบเกษตรกรรม มีการตั้งถิ่นฐานถาวร อาศัยอยู่ตามที่ราบลุ่มและใกล้แม่น้ำซึ่งเหมาะสมกับการทำการเกษตรกรรม

    - ใช้เครื่องมือหินที่ได้รับการขัด ฝน ให้สวยงาม มีการปั้นหม้อ

    - เริ่มมีความแตกต่างทางสังคม เช่น มีหัวหน้ากลุ่ม มีผู้นำทางศาสนา(หมอผี)

    - มีงานศิลปะบนหม้อ และมีการทอผ้า

    - มีกิจกรรมการค้าที่สร้างรายได้ให้กับหมู่บ้าน (ค้าขายกันระหว่างหมู่บ้านกับหมู่บ้าน)

ที่มา https://www.catdumb.com/some-neolithic-still-eat-fish-378/



อารยะธรรมแรก The First Cities and Civilizations 

            เมืองเกิดจากการรวมกลุ่มกันของหมู่บ้านต่าง ๆ มีความหลากหลายของผู้คนมากขึ้นไม่จำเป็นต้องอยู่ร่วมกันกับครอบครัวตนเอง เมื่อมีประชากรมากขึ้นทำให้ต้องมีการจัดระเบียบพื้นที่และการอยู่รวมกัน อีกทั้งเป็นศูนย์กลางในการค้า มีการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพในทุก ๆ ด้านจากยุคที่แล้ว ซึ่งลักษณะเฉพาะที่บ่งบอกถึงการมีอารยะธรรม ได้แก่ กานเป็นเมืองที่มีพัฒนาการขั้นสูง การมีรัฐบาลในการปกครอง และการมีศาสนาอย่างเป็นทางการ

    -มีความก้าวหน้าทางด้านชลประทานซึ่งนำไปสู่การมีผลผลิตส่วนเกิน
    -มีสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ เพิ่มขึ้น และทันสมัยกว่า
    -มีระบบการปกครอง มีขอบเขตของพื้นที่เมือง แผนผัง มีกำแพงกำหนดขอบเขตและปกกันศัตรู มีศาสนา
    -การเพิ่มความซับซ้อนทางสังคม มีการแบ่งแยกชนชั้นอย่างชัดเจน
    -มีการค้าขายทางไกล ติดต่อเมืองกับเมือง
    -มีวัฒนธรรมเป็นของตนเอง มีภาษาและตัวอักษร(ซึ่งนำไปสู่ยุคประวัติศาสตร์)


อารยะธรรมลุ่มแม่น้ำ
            อารยะธรรมลุ่มแม่น้ำเป็นอารยะธรรมกลุ่มแรกที่เติบโตอย่างอิสระ ซึ่งจะตั้งอยู่บริเวณแม่น้ำและสถานที่ที่มีแหล่งอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของประชากรที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งอารยะธรรมลุ่มแม่น้ำมีอยู่ 4 แหล่งของโลก คือ
       1.อารยะธรรมเมโสโปเตเมีย     ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำสองสาย คือ แม่น้ำไทกริสและแม่น้ำยูเฟตีส
        2.อารยะธรรมอียิปต์                ตั้งอยู่บริเวณแม่น้ำไนล์
       3.อารยะธรรมอินเดีย               เริ่มแรกตั้งอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุ
        4.อารยะธรรมจีน                    ตั้งอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำฮวงโห หรือ ฮวงเหอ

ที่มา https://www.pinterest.com/pin/489203578272115480/


        
            ตอนนี้เราจะเริ่มเห็นภาพแล้วว่าทำไม มนุษย์จึงเป็นสัตว์สังคม การอยู่รวมกันทำให้เกิดการปฎิสัมพันธ์กัน เป็นการแพร่กระจายทางด้านวัฒนธรรม เทคโนโลยี ระบบความคิด การเขียน และการใช้ภาษาในการสื่อสารเพื่อการแลกเปลี่ยนความรู้  ซึ่งเป็นปัจจัยนำไปสู๋การพัฒนาในด้านต่าง ๆ จะเห็นได้ว่าการพัฒนาของมนุษย์เกิดจากการที่มนุษย์ต้องการที่จะสร้างสิ่งที่อำนวยความสะดวกให้กับตนเอง เช่น วงล้อ ที่เผยแพร่มาจากเมโสโปเตเมีย ทำให้อียิปต์ก็หยิบยืมมาใช้ด้วย เพื่อความสะดวกในการคมนาคมทางบก 
ดังนั้น อารยะธรรมของมนุษย์จึงเริ่มวิวัฒนาการมาเรื่อย ๆ จนมีความเจริญรุ่งเรืองเหมือนในปัจจุบัน



วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2563

วิวัฒนาการและการปรับตัวของมนุษย์


 วิวัฒนาการและการปรับตัวของมนุษย์

    มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ มีการปรับตัวและเผชิญกับสภาพแวดล้อมต่างๆ ในฐานะที่เราเองก็เป็นมนุษย์ เราควรจะรู้ว่าบรรพบุรุษของเรามีความเป็นมาอย่างไรและกว่าจะเป็นมนุษย์ในแบบปัจจุบัน บรรพบุรุษของเราต้องวิวัฒนาการผ่านอะไรมาบ้าง

    ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักเกี่ยวกับการวิวัฒนาการของบรรพบุรุษมนุษย์เป็นอย่างไรบ้างมาดูกันเลย

ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มนุษย์มีหลากหลายสปีชีส์แต่เกณฑ์ที่เราสามารถใช้ในการแยกว่าเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์นั้นคือ การเริ่มใช้สองขาในการดำเนินชีวิต ซึ่งสามารถแบ่งการวิวัฒนาการของมนุษย์ได้ทั้งหมด 4 ช่วงด้วยกัน คือ

1.Australpithecine เราค้นพบฟอสซิลของมนุษย์ในทวีปแอฟริกาตอนใต้ เมื่อประมาณ 4-5 ล้านปีก่อน เป็นมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดที่เราค้นพบหลักฐานว่าเริ่มมีการเดินสองขา มีกะโหลกศีรษะค่อนข้างเล็กจึงทำให้มีขนาดสมองที่เล็กลงไปด้วย และยังไม่มีหลักฐานชีชัดว่ามีวัฒนธรรม  

2.Homo habilis  เริ่มมีการเดินทางกระจายตัวไปทางเหนือของแอฟริกาจึงค้นพบฟอสซิลทั่วทวีปแอฟริกาเมื่อ 2.4 ล้านปีก่อน มีวิวัฒนาการจาก Australpithecine ด้วยการเริ่มใช้เครื่องมือหินในการดำรงชีวิตแต่จะเป็นเครื่องมือหินแบบหยาบ 

3.Homo erectus มีอายุประมาณ 2- 1.5 ล้านปีก่อน เป็นมนุษย์ยุคแรกที่รู้จักการใช้ไฟ เพราะในช่วงนี้ยังเป็นยุคน้ำแข็ง มนุษย์จึงต้องหาหนทางในการเอาตัวรอดจากความหนาวเย็นจึงได้ใช้ไฟช่วยให้อบอุ่น เริ่มมีการยืนตัวตรง มีการใช้เครื่องมือหินที่อัพเกรดมาจาก Homo habilis จึงมีประสิทธิภาพมากกว่า มีการพบวัฒนธรรม และ Homo erectus เริ่มที่จะออกเดินทางออกจากทวีปแอฟริกา มนุษย์จึงมีการเดินทางกระจายตัวไปทางยุโรปและเอเชีย 

4.Homo sapiens มีอายุประมาณ 200,000 ปีก่อน เริ่มรู้จักการสร้างไฟเองได้จากการการถูสะเก็ตหินและควบคุมไฟได้ดีขึ้น มีเครื่องมือเครื่องใช้ที่หลากหลายและเรียบเนียนจากการขัดถู มีวิวัฒนาการทางด้านภาษา ค้นพบว่า Homo sapiens ได้เดินทางอพยพไปทั่วโลก ซึ่ง Homo sapiens ถือได้ว่าเป็นบรรพบุรุษที่มีรูปร่างใกล้เคียงกับมนุษย์ในปัจจุบันมากที่สุด(Homo sapiens sapiens) 

ที่มา : https://sites.google.com/site/wiwathnakarmnusy/2-wiwathnakar-khxng-mnusy/2-4-homo-sapiens-sapiens


การกระจายออกไปทั่วโลก Speading around the world

    อันเนื่องมาจากภูมิอากาศทำให้มนุษย์เริ่มการอพยพไปตามแหล่งต่างเพื่อต้องการแหล่งอาหารใหม่ๆ มนุษย์จึงเร่ร่อนและเริ่มที่จะปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมต่างๆ ซึ่ง Homo erectus เป็นกลุ่มแรกที่อพยพออกจากทวีปแอฟริกาไปยังยุโรปและเอเชีย  จนเกิดการวิวัฒนาการมาเป็น Homo sapiens ที่กระจายตัวอยู่ทั่วโลก คาดว่า Homo sapiens เริ่มรู้จักการใช้เรือข้ามไปที่ต่างๆ จึงเป็นจุดเปลี่ยนจาก  erectus เป็น sapiens อีกทั้งยังมีสะพานเบอร์ริงที่เชื่อมต่อทวีปเอเชียกับทวีปอเมริกาเข้าด้วยกัน จึงสามารถเดินทางอพยพไปได้นอกจากนี้ยังสามารถแบ่งสายพันธ์ุของ Homo sapiens ได้เป็น สองสายพันธ์ุที่อยู่ในยุโรป นั้นคือ โคมันยอง พบที่ประเทศฝรั่งเศสหรือสเปน และ นีแอนเดอร์ทัล ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่มีความใกล้เคียงกับมนุษย์ปัจจุบัน


                                    Homo erectus in Asia โฮโมอิเล็กตัสที่ค้นพบในเอเชีย

    1.Peking man (มนุษย์ปักกิ่ง) ค้นพบฟอสซิลในปี 1923 ในถ้ำใกล้กับหมู่บ้าน Zhouhoudian เมืองปักกิ่ง คาดว่ามนุษย์ปักกิ่งมีอายุประมาณ 200,000 - 750,000 ปีก่อน ซึ่งจะรู้จักการใช้ไฟ มีการค้นพบเครื่องมือในการล่า ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองมีการสูญหายของหลักฐานอันเนื่องมาจากการโจรกรรม

   2.Java man (มนุษย์ชวา) ค้นพบในปี 1891 โดย เออแณน ดูว์บัว ชาวฝรั่งเศสพร้อมคณะ ซึ่งเป็นฟอสซิลมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดในการขุดค้นพบในเอเชีย พบฟอสซิลฟัน หัวกะโหลก และกระดูกหน้าแข้งที่ริมฝั่งแม่น้ำในชวา


Agiculture การเกษตร

    การเกษตรเป็นจุดเปลี่ยนของยุค จากการเร่ร่อนเปลี่ยนเป็นมาอยู่กับที่และเริ่มอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงการดำรงชีวิตของมนุษย์ยุคเก่าไปอย่างสิ้นเชิง 


ที่มา : https://www.facebook.com/1505887862980590/posts/1506223079613735/


                                    มนุษย์มีการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมอย่างไร

ยุคหินเก่า  ในยุคหินเก่านี้มนุษย์ยังคงดำเนินชีวิตแบบเร่ร่อน อาศัยอยู่ตามถ้ำ มีการล่าสัตว์หาของป่า ทำให้มีเครื่องมือหินที่เน้นไปในทางการล่าสัตว์ เช่่น มีเครื่องมือหินสับตัดแบบหยาบ มีการใช้กระดูสัตว์เป็นเครื่องมือ ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่บนภูเขาและยังไม่มีการรวมกลุ่มกัน

ยุคหินใหม่ ในยุคนี้มนุษย์เริ่มรู้จักการทำการเกษตรกรรม มนุษย์จึงเริ่มเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต จากที่เคยเร่ร่อนต้องมาอยู่กับที่ เริ่มลงมาจากภูเขาเพื่อหาพื้นที่ที่เหมาะสมในการทำการเกษตรกรรม เช่น บริเวณพื้นที่ราบลุ่ม หรือ บริเวณใกล้แม่น้ำ ดังนั้น วิถีชีวิตจึงเริ่มเปลี่ยนไป มนุษย์ต้องมาอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มีการปลูกพืชพันธ์ุต่างๆ มีการเลี้ยงสัตว์ มีเครื่องมือที่เหมาะสมในการดำรงชีวิต เช่น การมีหม้อ ไห มีเครื่องมือล่าสัตว์ที่ทันสมัยกว่าและมีประสิทธิภาพกว่ายุคหินเก่า


    ดังนั้นการศึกษาวิวัฒนาการของมนุษย์จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ทำให้เราได้รู้ความเป็นมาของประวัติศาสตร์มนุษย์ก่อนที่จะมีความเจริญและพัฒนามาในปัจจุบัน อีกทั้งยังทราบถึงวิวัฒนาการของบรรพบุรุษเราไม่ว่าจะเป็น การเอาชีวิตรอดในสภาพแวดล้อมต่างๆ การวิวัฒนาการของเครื่องมือเครื่องใช้ การปรับเปลี่ยนของลักษณะรูปร่างตั้งแต่อดีตจากฟอสซิล ทำให้เรามีความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับบรรพบุรุษมนุษย์