วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2563

วัดสีสะเกด (Si Saket Temple)

 วัดสีสะเกด (Si Saket Temple)


ที่มา https://vientiane.crowneplaza.com/th/wat-sisaket

    วัดสีสะเกด ในการสร้างวัดครั้งแรกเดิมวัดนี้มีชื่อว่า วัดสตสหัสสาราม** แต่สำหรับชื่อ วัดสีสะเกด ได้มาจากทิศที่ตั้งของวัดหันหน้าไปทางพระราชวังที่เป็นทิศหัวนอนของเจ้าอนุวงศ์ สำหรับเจ้าอนุวงศ์กราบไหว้พระใน วัดสีสะเกด ได้ทุกเวลา วัดสีสะเกดเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในเมือง เพราะวัดอื่นๆที่เหลืออยู่โดยรอบเวียงจันทร์ถูกเผาทำลายในช่วงที่สยามเข้ามารุกราน

ที่มา https://www.konderntang.com

   ** คำว่าสตสหัสส  แปลว่า 100,000,  อาราม แปลว่า วัด,  วัดสตสหัสสาราม จึงแปลว่า วัดแสน  ในอดีตเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช (ลาว)   สาเหตุที่ชื่อวัดแสนก็เพราะว่า  พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชและพุทธศาสนิกชนชาวลาวในอดีต  ทรงสร้างพระพุทธรูปทั้งองค์เล็กและองค์ใหญ่ประดิษฐานไว้ทั่ววัด 100,000 องค์  ดังนั้นจึงมีชื่อเล่นว่าวัดแสน  แต่ปัจจุบันมีเหลืออยู่ประมาณ 10,000 กว่าองค์เท่านั้น 

ที่มา https://www.emagtravel.com/archive/vientiane-trip.html

    วัดสีสะเกด เป็นวัดหลวง หรือเป็นวัดอารามหลวงหากเทียบกับในประเทศไทย มีภาพเขียนลายตามพนังของโบสถ์ และกำแพง ผนังภายในพระอุโบสถมีรูปแต้มระบายสีที่มีความเก่าแก่ และมีคุณค่า โดยวัดได้ทำการอนุรักษ์และรักษาไว้อย่างดี มีพระพุทธรูปที่เป็นสถาปัตยกรรมของลาว เมื่อเข้าไปสู่อุโบสถบริเวณประตูจะมีศิลาจารึกที่สร้างขึ้นจากหินทราย มีการบรรยายถึงประวัติในการสร้างวัดนี้ พระพุทธรูปเงินและพระพุทธรูปดินเผา ส่วนในด้านหลังพระอุโบสถมีรางไม้ที่เป็นเอกลักษณ์เด่น เป็นรูปพญานาคใช้เป็นรางสำหรับสรงน้ำพระในเทศกาลสงกรานต์ หรือปีใหม่ลาว

ประวัติการสร้างวัดสีสะเกด

พระเจ้าอนุวงศ์โปรดให้สร้างวัดนี้ขึ้นในปี พ.ศ.2361โดยได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะรัตนโกสินทร์อย่างมาก ทั้งรูปแบบของสิมและหอไตร วัดนี้เป็นวัดที่ไม่ได้ถูกทำลายจากการบุกรุกของสยามทำให้ยังคงหลงเหลือศิลปกรรมสมัยพระเจ้าอนุวงศ์มาจนถึงปัจจุบัน

ด้านสถาปัตยกรรม

    องค์ประกอบภายนอกประกอบด้วย มีวิหารใหญ่อยู่ตรงกลางล้อมรอบด้วยระเบียงคดทั้ง 4 ด้าน ภายในมีจิตรกรรมฝาผนังที่มีคุณค่าแก่การอนุรักษ์ แต่สิ่งที่เด่นมากของวัดนี้คือ หอไตร หรือ หอธรรม ที่มีรูปทรงคล้ายมณฑปมีหลังคาลดหลั่นกันลงมาเป็นชั้นๆ ตามศิลปะสกุลช่างล้านช้าง เป็นพุทธสถาปัตยกรรมที่งดงามมากของนครเวียงจันทน์

ที่มา https://www.konderntang.com

    สิมวัดสีสะเกด เป็นสิมแบบเวียงจันทน์ที่มีหลังคาด้านข้างยกสูง แตกต่างไปจากหลังคาที่เตี้ยเลียบพื้นตามแบบหลวงพระบางและเชียงขวาง โดยรอบปรากฏพาไลซึ่งคล้ายคลึงอย่างมากกับอุโบสถในศิลปะรัตนโกสินทร์หลายแห่ง ซุ้มประตูและหน้าต่างเองก็เป็นทรงมณฑปซึ่งคล้ายคลึงกับอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามในกรุงเทพ อย่างไรก็ตาม การซ้นชั้นของหลังคาที่ชั้นเชิงตามแบบล้านช้าง กระเบื้องที่ไม่เคลือบสีและการปรากฏ “ช่อฟ้า” หรือปราสาทยอดที่กึ่งกลางสันหลังคาล้วนแต่เป็นเอกลักษณ์ตามแบบล้านช้างเอง 



ที่มา https://th.tripadvisor.com/LocationPhotoDirectLink-g293950-d325294-i163679370-Wat_Si_Saket-Vientiane_Vientiane_Prefecture.html


    จุดเด่นอีกสิ่งหนึ่งของ วัดสีสะเกด คือพระที่สร้างในกำแพง เป็นศิลปะที่ในสมัยนั้นนิยมสร้างกัน ซึ่งมีทั้งในกำแพงอุโบสถ และกำแพงของวัด  ผนังด้านในของระเบียงที่รอบอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปเงิน และ ดินเผา มากกว่า 2,000 องค์ ส่วนใหญ่ เป็นพระที่สร้างที่เวียงจันทน์ในช่วงศตวรรษที่ 16 ถึง 19 พระพุทธรูปภายในวัดที่มีจำนวนมากนั้นมีความหมายคือเปรียบเสมือนศิษยานุศิษย์สาวกของพระพุทธเจ้า ตามพุทธประวัติที่มีสืบต่อกันมา เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปสถานที่ใดก็ต้องมีบริวารติดตามไปเพื่อรับฟังโอวาทพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ดังนั้นพุทธศาสนิกชนจึงทำพระพุทธรูปหล่อถวายให้แก่ วัดสีสะเกด 

ที่มา https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=tantailovegongtup&month=03-2012&date=31&group=18&gblog=10



ที่มา https://www.konderntang.com


     ปัจจุบันวัดสีสะเกดเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช ของลาว วัดนี้เป็นวัดที่ไม่ถูกเผาเมื่อครั้งมีสงคราม ทำให้ในปัจจุบันนี้ยังมีความสวยงาม และความสมบูรณ์ ทำให้คนรุ่นหลังอย่างเราได้เห็นถึงความงามที่สร้างด้วยช่างฝีมือในสมัยนั้น อีกทั้งวัดยังเป็นศูนย์รวมจิตใจให้คนในชาติอีกด้วย ประเทศลาวเป็นประเทศที่มีพุทธศาสนิกชนอยู่จำนวนมาก


การเดินทาง : มี 3 วิธีด้วยกันคือ 

    – รถตุ๊กตุ๊ก หรือรถกระป๊อ นั่งได้ประมาณ 4 คน เหมา 700 บาท

    – รถเก๋ง นั่งได้ประมาณ 3-4 คน เหมา 800 บาท

    – รถตู้เล็ก hyundai นั่งได้ประมาณ 7 คน เหมา 900 บาท

แผนที่การเดินทาง จาก https://travel.mthai.com/world-travel/62737.html

ค่าเข้าชม : 5000 กีป ( ประมาณ 20 บาท)

ที่มา http://www.dooasia.com/trips/detail.php?id=240

เปิดทำการ ทุกวันตั้งแต่ช่วงเช้า 8.00-12.00 และช่วงบ่าย 13.00 – 16.00 น.

ข้อแนะนำ: ห้ามถ่ายภาพในอุโบสถ



เอกสารอ้างอิง

เชษฐ์ ติงสัญชลี .(2558).สิม วัดสีสะเกด.สืบค้นเมื่อ 27/10/2563
จากเว็บไซต์ https://www.sac.or.th/databases/seaarts/th/detail.php?tb_id=1106

คนเดินทาง .(2561).วัดสีสะเกด เมืองเวียงจันทร์ .สืบค้นเมื่อ 27/10/2563 จากเว็บไซต์ https://www.konderntang.com/วัดสีสะเกด/

whenorwhere.(มปป).วัดสีสะเกด/ วัดสตสหัสสาราม (Wat Si Saket /Si Saket Temple) .สืบค้นเมื่อ 27/10/2563 จากเว็บไซต์ https://www.whenorwhere.com/destination/wat-si-saket 

dooasia.(2551).เที่ยววัดเก่าแก่ของลาว วัดสีสะเกด เวียงจัน ประเทศลาว.สืบค้นเมื่อ 27/10/2563 จากเว็บไซต์ http://www.dooasia.com/trips/detail.php?id=240

momarmy.(2554).มาฆะบูชา เวียงจันทน์ / วัดสีสะเกด.สืบค้นเมื่อ 27/10/2563 จากเว็บไซต์ https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=tantailovegongtup&month=03-2012&date=31&group=18&gblog=10 

วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2563

พระราชวังมัณฑะเลย์ (Mandalay Royal Palace)

พระราชวังมัณฑะเลย์ (Mandalay Royal Palace, Mandalay, Myanmar)

    สวัสดีค่ะทุกคนครั้งนี้เราจะพาทุกคนไปชมโบราณสถานที่สำคัญของประเทศเมียนมาร์ นั้นคือ พระราชวังมัณฑะเลย์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นเมืองทองแห่งการเผยแผ่พระพุทธศาสนา แต่กลับเป็นพระราชวังแห่งสุดท้ายของมัณฑะเลย์ และของเมียนมาร์ เมื่อถึงยุคล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก ซึ่งอังกฤษได้ผนวกเมียนมาร์เข้าเป็นอาณานิคมของตนเอง และเชิญพระเจ้าทีปอกับพระนางสุภายาลัด กษัตริย์องค์สุดท้ายของเมียนมาร์เสด็จออกนอกประเทศ ไปประทับที่อินเดียจนสิ้นพระชนม์ที่นั่น และช่วงสงครามโลกพระราชวังหลวงที่สร้างด้วยไม้สักทั้งหลังก็ถูกทำลายจนสิ้น ปัจจุบันได้มีการบูรณะพระราชวังขึ้นมาใหม่เป็นบางส่วนแต่ก็มิได้สวยงามเท่าของเดิม เป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ควรค่าแก่การไปเยือน

ที่มา : https://www.wonderfulpackage.com/article/v/711/

ประวัติความเป็นมา

   เมืองมัณฑะเลย์ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอิระวดี อดีตเมืองหลวงที่สำคัญของประเทศเมียนมาร์  พระราชวังมัณฑะเลย์ถูกสร้างขึ้นมาโดยพระเจ้ามินดง ในปีปี ค.ศ. 1857 หลังการย้ายเมืองหลวงจากอมระปุระมายังมัณฑะเลย์ เพื่อหนีทหารของจักรวรรดิอังกฤษ ระหว่างสงครามพม่า-อังกฤษ   

  พระเจ้ามินดงทรงสุบินเห็นภูเขามัณฑะเลย์ โหรหลวงได้ทำนายว่าต้องสร้างราชธานีใหม่ ณ ที่แห่งนี้ พระองค์จึงได้ทำการย้ายเมืองหลวงจากอมรปุระมายังเมืองมัณฑะเลย์ โดยรื้อพระราชวังเดิมนำมาสร้างใหม่ สร้างขึ้นตามผังภูมิจักรวาลแบบพราหมณ์ปนพุทธ โดยสมมุติให้เป็นศูนย์กลางของโลก (เขาพระสุเมรุ) 

     ในการก่อสร้างเป็นพระราชวังที่สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง ได้ชื่อว่ามีความงดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปเอเชีย มีคูน้ำรอบพระราชวังและประตูที่ยิ่งใหญ่ และเป็นพระราชวังที่สุดท้ายของพระเจ้าธีบอ กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์คองบองและในประวัติศาสตร์พม่า เมื่ออังกฤษเข้ายึดครองพม่าในสงครามโลกครั้งที่สอง ทางอังกฤษคิดว่าพระราชวังนี้เป็นแหล่งซ่องสุมของทหารญี่ปุ่น จึงได้ทำลายพระราชวังด้วยการทิ้งระเบิดจากเครื่องบินในวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 1945 พระราชวังตกอยู่ในความเสียหายมาโดยตลอด จนปัจจุบันได้รับการบูรณะโดยรัฐบาลพม่า โดยการลอกแบบโครงสร้างเดิม เพราะฉะนั้นลวดลายและฝีมือการแกะสลักจึงไม่สวยงามและละเอียดละออเท่ากับของเดิม ซึ่งสามารถไปดูลวดลายการแกะสลักที่คล้ายคลึงกันได้ที่ วิหารชเวนั้นดอร์ ซึ่งเป็นวัดที่มีการแกะสลักไม้สักปิดทองที่ยังไม่ถูกทำลายและยังคงสภาพได้อย่างสมบูรณ์


สถาปัตยกรรมพระราชวังมัณฑะเลย์

รูปแบบศิลปะ : ศิลปะสมัยอมรปุระและมัณฑะเลย์ ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 23

ผู้สร้าง : พระเจ้าบินดง ปี ค.ศ. 1857

ลักษณะเด่น : มีการสร้างหลังคาเป็นปราสาท หรือ ปยาธาตุ ลักษณะเป็นแบบเรือนชั้นซ้อนแบบพม่า และการแกะสลักไม้ปิดทองที่เป็นเอกลักษณ์และมีความละเอียดงดงาม

พระราชวังมีรูปแบบแผนผังการสร้างเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างยาวด้านละ 2 กิโลเมตร มีคูน้ำล้อมรอบพระราชวัง และมีกำแพงที่สร้างด้วยอิฐสูงประมาณ 8 เมตร ยอดกำแพงเป็นรูปใบเสมา รอบล้อมพระราชวัง ซึ่งกำแพง ไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อให้เป็นปราการป้องกันข้าศึก  แต่สร้างไว้เพื่อแสดงว่า พื้นที่ภายในวงล้อมของกำแพงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มากกว่า

ที่มา https://lifestyle.campus-star.com/knowledge/83462.html
ที่มา https://www.dplusguide.com/2017/mandalay-story/

    มีประตูเข้าสู่พระราชวังทั้งหมด 4 ทิศ ทิศละ 3 ประตู รวมเป็น 12 ประตู แต่ประตูที่ใช้ได้จริงมีเพียงประตูทางทิศตะวันออกเท่านั้น เพราะมีสะพานที่สามารถข้ามเข้าไปได้ นอกนั้นเป็นประตูหลอก ยกเว้นแต่ประตูทางทิศตะวันตก เป็นประตูผี ที่มีความเชื่อว่าใช้สำหรับขนคนที่ตายแล้วออกจากวังเท่านั้น แต่ในช่วงที่อังกฤษเข้ามาเป็นเจ้าอาณานิคมได้บังคับให้พระเจ้าตี่ป่อและพระนางสุภายาลัด เสด็จด้วยเกวียนเทียมโคออกไปลงเรือที่แม่น้ำอิรวดีด้านประตูทางทิศตะวันตก ซึ่งถือเป็นการหมิ่นพระเกียรติอย่างร้ายแรง ในปัจจุบันรัฐบาลพม่า ยังไม่ยอมซ่อมสะพานที่ข้ามผ่านประตูผีแห่งนี้ เพื่อเป็นอนุสรณ์อันเจ็บปวดที่ถูกอังกฤษกระทำย่ำยีศักดิ์ศรี

ที่มา http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/10/K8404784/K8404784.html


    ภายในปราสาทถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ชั้นนอก เป็น หมู่มหามณเฑียร ลักษณะจะเป็นท้องพระโรง 3    หลังติดกัน เป็นสถานที่ที่ใช้ประชุมของเหล่าเสนาบดีและขุนนาง ปัจจุบันถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นพิพิธภัณฑ์ภายในพระราชวังมัณฑะเลย์ จัดแสดงสิ่งของที่หลงเหลืออยู่ และได้รับคืนบางส่วนจากอังกฤษหลังได้รับเอกราช แต่ทรัพย์สมบัติจำนวนมากก็ยังคงอยู่ที่อังกฤษ

ที่มา https://lifestyle.campus-star.com/knowledge/83462.html

ชั้นกลาง ใจกลางพระราชวังเป็นห้องพระมหาปราสาทที่ประดิษฐานสีหาสนบัลลังก์ นอกจากนี้ยังมีพระที่นั่งมยีนันซึ่งสร้างด้วยไม้ แล้วหุ้มด้วยแผ่นทอง 7 ชั้น สูงถึง 78 เมตร เป็นจุดศูนย์กลางของพระราชวัง ดังเขาพระสุเมรุที่เป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล และด้านหลังของพระที่นั่งมยีนัน เป็นพระที่นั่งสายตะหวุ่นสาง ที่ประดิษฐานหงสาสนบัลลังก์ ใช้เป็นที่รับรองพระราชอาคันธุกะต่างแดน

ที่มา https://lifestyle.campus-star.com/knowledge/83462.html


และชั้นใน เป็นตำหนักของพระมเหสี พระสนมและวงศานุวงศ์ขนาดเล็กลงมาตามลำดับความสำคัญ ลักษณะเด่นจะเป็นเรือนไม้สักสีแดง ซึ่งเป็นพื้นที่ห้ามคนนอกเข้ายกเว้นกษัตริย์และทหารรักษาการณ์ ซึ่งคาดว่าตำหนักในชั้นในมีประมาณ 45-48 หลังตามจำนวนของพระสนมของพระเจ้าบินดง 

ที่มา https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=334

 **จะมีเพียงส่วนชั้นนอกและชั้นกลางเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้ ในส่วนอื่นไม่อนุญาตให้เข้าชมและห้ามถ่ายรูป เพราะเป็นที่ตั้งของทหาร มีการรักษาความปลอดภับที่เข้มงวด

    นอกจากนี้ยังมีหอคอยไม้บันไดเวียน เป็นหอคอยที่ใช้มองเมืองมัณฑะเลย์ และสังเกตุการณ์โดยรอบพระราชวังด้านข้างมีอาคารแบบตะวันตก มีสระน้ำแบบชาวโรมัน ซึ่งพระเจ้าสีป่อสั่งให้ช่างชาวอิตาลีสร้างขึ้นในภายหลัง

ที่มา https://www.dplusguide.com/2017/mandalay-story/

ที่มา https://lifestyle.campus-star.com/knowledge/83462.html


การเดินทางไปยังพระราชวังมัณฑะเลย์

    - รถแท็กซี่ เป็นทางเลือกหลักในการเดินทางภายในเมืองต่างๆของพม่า เนื่องจากในพื้นที่ยังไม่มีบริการรถสาธารณะประเภทอื่นๆ นักท่องเที่ยวสามารถใช้บริการรถแท็กซี่ทั้งจากรถของโรงแรมที่พักต่างๆ หรือตามท้องถนน ทั้งนี้อัตราค่าบริการจะเป็นราคาแบบเหมา ทั้งการเดินทางจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง หรือการเหมาท่องเที่ยวแบบ 1 วัน โดยอัตราค่าโดยสารต่อเที่ยวไปยังจุดต่างๆเริ่มต้นตั้งแต่ 3,000  จ๊าด ส่วนอัตราเหมาต่อ 1 วันอยู่ที่ประมาณ USD 50-90 โดยอัตราค่าโดยสารทั้งสองรูปแบบอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามสภาพรถ จุดหมาย และระยะทางในการเดินทาง
    - มอเตอร์ไซค์เช่า เป็นวิธีการเดินทางราคาประหยัดสำหรับนักท่องเที่ยว โดยในเมืองมัณฑะเลย์นั้นมีร้านเช่ามอเตอร์ไซค์อยู่จำนวนมาก บางโรงแรมก็มีให้บริการเช่นกัน โดยค่าเช่าต่อวันจะอยู่ที่ประมาณ 10,000 – 30,000 จ๊าด ขึ้นอยู่กับชนิดของมอเตอร์ไซค์ที่ต้องการ และยังไม่รวมค่าน้ำมันระหว่างวัน

เวลาในการเปิด-ปิดทำการ : พระราชวังมัณฑะเลย์เปิดทำการทุกวันตั้งแต่ 07.30 – 16.30 น.

การซื้อบัตรเข้าชม : สถานที่สำคัญต่างๆในเมืองมัณฑะเลย์มีการจำหน่ายบัตรเข้าชมแบบรวม ซึ่งมีชื่อว่า Mandalay Archaeological Zone ticket ราคา USD 10 หรือ 10,000 จ๊าด (ประมาณ 250 บาทไทย) สามารถใช้เข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวทุกแห่งในเมืองมัณฑะเลย์ สามารถหาซื้อได้ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆที่อยู่ภายในเมือง บัตรมีอายุ 5 วัน



ข้อแนะนำ : แม้ว่าสถานที่ต่างๆในประเทศพม่าทั้งสถานที่ท่องเที่ยว โรงแรม และร้านอาหาร จะรับชำระเงินทั้งในสกุลจ๊าด และสกุลดอลล่าร์ แต่สำหรับการใช้จ่ายทั่วไป เช่นการขึ้นรถ หรือจ่ายค่าอาหาร การจ่ายเงินเป็นสกุลจ๊าดจะได้เรทที่ค่อนข้างดีกว่าและถูกกว่าการจ่ายเป็นสกุลดอลล่าร์
 




เอกสารอ้างอิง

วีระพล   ศรีหลัก .(มปป).ประวัติพระราชวังมัณฑะเลย์ พม่า.สืบค้นเมื่อ 14/10/2563
จากเว็บไซต์ https://sites.google.com/site/hongkhaphrarachwangphma/pra-wati-hong-kha/prawati-phra-rach-wang-manth-a-ley-phma

CAMPUS.(2560).พระราชวังมัณฑะเลย์ ความงดงาม กับเรื่องราวประวัติศาสตร์น่าเศร้าใจ – พม่า.สืบค้นเมื่อ 14/10/2563 จากเว็บไซต์ https://lifestyle.campus-star.com/knowledge/83462.html

Webmaster. (2563).พระราชวังมัณฑะเลย์ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า สืบค้นเมื่อ 14/10/2563 
จากเว็บไซต์ https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=334